วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

บทที่ 6
สัญลักษณ์และภาษาของศาสนา
“คุณค่า ความหมายของสัญลักษณ์และ
ภาษาของศาสนาคืออะไร?”

ร่องรอยในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ แสดงให้เห็นถึงการที่มนุษย์ใช้เครื่องหมาย สัญลักษณ์ และภาษา เป็นสื่อแทนหรือถ่ายทอดความหมายต่าง ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารรวมทั้งเป็นสื่อแทนความหมายต่าง ๆ ในสังคม มนุษย์ยอมรับว่าคุณค่าภายในของสิ่งใด ๆ ก็ตาม สามารถแสดงออกด้วยเครื่องหมาย และรูปแบบภายนอก มนุษย์จึงใช้เครื่องหมาย/สัญลักษณ์เชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ที่มีความหมายในทางวัฒนธรรมในสังคมของตน และแสดงออกถึงอุดมการณ์ และแรงบันดาลใจส่วนตัว ผ่านทางเครื่องหมาย สัญลักษณ์ของสิ่งนั้น ๆ

1. นิยามของเครื่องหมาย สัญลักษณ์และภาษา

ทั้งสามคำ แม้มีการให้นิยามที่มีความหมายต่างกัน แต่ก็มีความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกัน

1.1 เครื่องหมาย (Sign)

คำภาษาลาตินว่า “Signum” (Angeles, 1981: 256) หมายถึง สิ่งที่ใช้แทนสิ่งอื่น แบ่งได้สองประเภท คือ (กีรติ บุญเจือ. 2522: 84)

1.1.1 เครื่องหมายตามธรรมชาติ (Natural sign) ได้แก่ สิ่งที่บ่งถึงสิ่งอื่นโดยไม่จำเป็นต้องมีการตกลงกัน เช่น ไฟ หมายถึง ความร้อน

1.1.2 เครื่องหมายตามข้อตกลง (Conventional/Artificial sign) ได้แก่ สิ่งที่ตกลงรู้กันในหมู่คณะว่าหมายถึงอะไร เช่น ธงไตรรงค์ หมายถึง ชาติไทย

1.2 สัญลักษณ์ (Symbol)

ภาษากรีกว่า “Symbolon” (Angeles, 1981: 285) หมายถึง เครื่องหมายที่มีการตกลงกัน หรือการรับรู้กันว่าใช้อ้างอิงถึงอีกสิ่งหนึ่ง ได้แก่

1.2.1 สิ่ง/เครื่องหมายที่เห็นได้ (A visible sign) แทนความคิดที่ต้องการถ่ายทอด เช่น เครื่องหมายกากบาทข้างถนน แทนสี่แยกข้างหน้า

1.2.2 คำ/ เครื่องหมาย (A word/ mark) ที่ใช้แทนสิ่งที่มีลักษณะเป็นนามธรรม เพื่อการติดต่อสื่อสาร ถ่ายทอดความคิด เช่น ธงไตรรงค์ เป็นสัญลักษณ์หมายถึงชาติไทย

1.2.3 สิ่งที่มีการให้ความหมาย โดยการตกลงร่วมกันในสังคมว่าหมายถึงสิ่งหนึ่ง เช่น ไฟจราจรสีเหลือง หมายถึง การขับรถด้วยความระมัดระวังหรือ การเตรียมหยุดรถ

โดยทั่วไป สัญลักษณ์เป็นส่วนหนึ่งของ “เครื่องหมาย” แต่มีความหมายจำกัดอยู่ในเครื่องหมายที่มีการตกลงกัน (Conventional/Artificial sign) มีการใช้ร่วมกันในสังคม ให้เป็นสื่อ (ตัวแทน) ถึงสิ่งที่ต้องการนำเสนอ (Meaning, quality, abstraction, idea, object) แทนสิ่งนั้นๆ กล่าวคือ การใช้สิ่ง/เครื่องหมายที่เห็นได้/เข้าใจได้ (Visible sign) แทน (Represent) สิ่งที่ต้องการถ่ายทอด (Something else)

1.3 ภาษา (Language)

ภาษาลาตินว่า “Lingua” หมายถึง กลุ่มของเครื่องหมายว่าจะใช้สื่อความหมายได้ในระบบเดียวกัน อาจเป็นภาษาพูด ภาษาเขียน หรือภาษามือก็ได้ ซึ่งแต่ละประเภทจะมีได้หลายระบบต่างๆ กัน แล้วแต่ระบบเครื่องหมายและกฎไวยากรณ์ที่ควบคุมเครื่องหมาย (กีรติ บุญเจือ. 2522: 1911) เพื่อแสดงถึงความรู้สึก อารมณ์ ความปรารถนาและความคิด (Angeles, 1981) ของผู้สื่อสาร ภาษาเป็นระบบของเครื่องหมายที่ใช้เพื่อแสดงออกเพี่อให้ข้อมูล แสดงอารมณ์ หรือเหตุผล

ดังนั้น ทั้งสามคำจึงมีความหมายที่แตกต่างกัน แต่ก็มีความหมายที่เชื่อมโยงกัน กล่าวคือ ภาษาเป็นส่วนหนึ่งของสัญลักษณ์ สัญลักษณ์เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องหมายนั่นเอง

2. คุณค่าและความหมายของสัญลักษณ์และภาษาของศาสนา

สัญลักษณ์และภาษาของศาสนา หมายถึงการนำสัญลักษณ์และภาษามาใช้สื่อถึงความจริงของศาสนา หรือถ่ายทอดเนื้อหาของความเชื่อ (The matter of faith) อาศัยความเข้าใจในสัญลักษณ์ และความสมเหตุสมผลตามหลักตรรกะของภาษาที่ใช้ในศาสนา




2.1 การวิเคราะห์คุณค่าของสัญลักษณ์และภาษาของศาสนา

2.1.1 ศาสนามีสัญลักษณ์และภาษาของตน
แต่ละศาสตร์ ต่างมีสัญลักษณ์และภาษาเฉพาะของตนที่ตกลงและเข้าใจกันในกลุ่มของตน เพื่อเป็นเครื่องหมายของความคิดตามบริบทของศาสตร์ในการถ่ายทอดความจริงตามเนื้อหาและวิธีการตามอัตลักษณ์ ศาสนาย่อมมีการถ่ายทอด สื่อสารความจริงของศาสนา (ความเชื่อศรัทธาและแนวปฏิบัติสู่การเป็นผู้นับถือศาสนา) ผ่านทางสัญลักษณ์และภาษาของตน อย่างไรก็ตาม ความจริงของศาสนามีความพิเศษ เนื่องจากศาสนา มีลักษณะของความจริงที่เรียกว่า “เนื้อหาของความเชื่อศรัทธา” แม้ว่าความจริงของศาสนาบางอย่างสามารถอธิบายได้ตามหลักเหตุผล หรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่แก่นสาระของความจริงในศาสนา คือ ความสัมพันธ์กับความรอดพ้น (ความเป็นจริงสูงสุด) ซึ่งอยู่เกินขอบเขตโลกแห่งประสบการณ์ระดับประสาทสัมผัส (อุตรภาพ) ความจริงของศาสนาจึงมีลักษณะเป็น “ธรรมล้ำลึก” (Mystery) ที่มนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด ดังนั้น ศาสนา จึงยอมรับและให้ความสำคัญต่อความเชื่อศรัทธา ว่าเป็นพื้นฐานของการรู้ความจริงของศาสนา (Wainwright, 1995)

2.1.2 สัญลักษณ์และภาษาของศาสนาเป็นเครื่องหมายถ่ายทอดความจริงของศาสนาที่รองรับธรรมชาติมนุษย์สู่ความรอดพ้น

ศาสนาประกอบไปด้วยสัญลักษณ์และภาษาของศาสนาที่ตกลงกันในกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง เนื่องจากมนุษย์อยู่ในบริบทของเวลาและสถานที่ ที่ปรารถนาจะบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์ (ความรอดพ้น) ตามหลักธรรมที่ศาสนาสอน ทั้งนี้ ศาสนาในฐานะเป็นวิถีชีวิตสู่ความรอดพ้นที่มีลักษณะเป็นอุตรภาพ ต้องมีลักษณะที่สอดคล้องกับธรรมชาติมนุษย์ ที่มีทั้งสัญชาติญาณและสติปัญญา ศาสนาจึงต้องมีองค์ประกอบที่รองรับธรรมชาติมนุษย์ ในเรื่องนี้ ผู้เขียนขอนำเสนอด้วยแผนผัง เพื่อง่ายต่อความเข้าใจ กล่าวคือ






Man desire to Salvation/Absolute reality
as Person in space and time as Transcendence
- Body (Instinct)
- Mind (Intellect)

ช่องว่าง
ระหว่าง มนุษย์กับความเป็นจริงสูงสุด
เชื่อมความสัมพันธ์ด้วยองค์ประกอบของศาสนา
- ธรรมบัญญัติ กฎเกณฑ์ หลักปฏิบัติ สถาบัน โครงสร้างองค์กร
(องค์ประกอบภายนอกของศาสนา)
- ความเชื่อศรัทธา/ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลกับความเป็นจริงสูงสุด
(องค์ประกอบภายในของศาสนา/บุคคล)

2.1.3 สัญลักษณ์และภาษาของศาสนา เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความจริงของศาสนา โดยมีจุดกำเนิดและวิถีทางที่ต่างกันตามประเภทของศาสนา

ความรอดพ้น (ความเป็นจริงสูงสุด) เป็นเป้าหมายของชีวิตและความจริงของศาสนา แต่ละศาสนาพยายามอธิบายความรอดพ้น และวิถีสู่ความรอดพ้น (Way of life to Salvation) ซึ่งได้นำเสนอไปแล้วว่ามีการแบ่งศาสนาออกเป็นสองแนว/ประเภท ได้แก่ ศาสนาแนวเทวนิยมและอเทวนิยม แต่ละแนวอธิบายบ่อเกิดและวิถีสู่ความรอดพ้นที่ต่างกัน กล่าวคือ

ก. ศาสนาแนวเทวนิยมเน้นบ่อเกิดและวิถีสู่ความรอดพ้นอาศัยพระพรจากพระเจ้าและการตอบรับ (ความร่วมมือ) จากมนุษย์

ศาสนาแนวเทวนิยมเน้นบทบาท/ความช่วยเหลือของพระเจ้า (ความเป็นจริงสูงสุด) เพื่อความรอดพ้น ชีวิตบนโลกเป็นเพียงสิ่งชั่วคราว เป็นการเดินทางไปสู่ชีวิตนิรันดร โดยมีเป้าหมายชีวิต คือ การเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ที่จะทำให้มนุษย์มีชีวิตที่สมบูรณ์ พระเจ้าทรงแสดงพระองค์ให้มนุษย์มีความเชื่อศรัทธาพระองค์ ผ่านทางผู้ที่ทรงเลือกสรร (ศาสดา/ผู้เผยแพร่หลักธรรมคำสอน) หรือการเสด็จลงมาของพระองค์เอง เพื่อเผยแสดงธรรมล้ำลึกของพระองค์แก่มนุษย์ โดยเน้นความเชื่อในพระเจ้าและศาสดาของพระองค์ (อิมรอน มะลูลีม, 2539) ทั้งนี้ มนุษย์ต้องร่วมมือด้วยการตอบรับด้วยความเชื่อศรัทธาต่อพระเจ้า ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของศาสดา การตีความคำสอนและแนวปฏิบัติจากศาสดา สาวกและผู้สืบตำแหน่งจากพวกท่าน โดยมีหลักคำสอนสำคัญ ได้แก่

1) การเน้นบทบาทของพระเจ้าเป็นสำคัญ (ศูนย์กลาง) พระเจ้ามีแผนการสร้างความสัมพันธ์และช่วยมนุษย์สู่ความรอดพ้น (ความหลุดพ้น) ในประวัติศาสตร์มนุษย์ ในฐานะที่พระองค์เป็นผู้เริ่มต้น ผู้ดำเนินการ ผู้ช่วยเหลือ และเป้าหมาย (Gratsch, 1985) ของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

2) บทบาทของมนุษย์ คือ การตอบรับพระพรและความช่วยเหลือจากพระเจ้า (การยอมจำนน) ต่อแผนการสู่ความรอดพ้นในประวัติศาสตร์ ด้วยจิตใจที่เชื่อมั่นศรัทธา และแสดงออกภายนอกด้วยการปฏิบัติตามหลักคำสอน และวิถีปฏิบัติตามแนวทางของศาสนา อย่างผู้มีสติปัญญา โดยความสำนึกว่า หลักปฏิบัติต่างๆ ที่ศาสนาสอนนี้ เป็นบทบัญญัติแห่งความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์สู่ความรอดพ้น (Gustafson, 1995) แม้ว่าศาสนาแนวเทวนิยมจะเน้นพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง แต่ไม่ใช่หมายความว่ามนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย “การยอมจำนนนี้มิใช่การยอมแพ้อย่างนิ่งเฉย ... หากแต่เป็นการยอมจำนนอย่างมีความเคลื่อนไหวและต่อสู้ดิ้นรน... เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น จึงจะบรรลุถึงความสงบสุขได้” (อิมรอน มะลูลีม. 2539: 10)


พระเจ้าทรงเริ่มต้น
และประทานพระพร ความรอดพ้น (พระเจ้า)
อย่างต่อเนื่อง


เชื่อศรัทธา การเผยแสดง การตอบรับของมนุษย์
- พระองค์เอง - เชื่อศรัทธา (ภายใน)
- บุคคลที่พระเจ้าเลือกสรร - การปฏิบัติตน (ภายนอก)
มนุษย์ - ร่องรอย (พระคัมภีร์) อย่างผู้มีสติปัญญา
และการตีความ


3) ศาสนาแนวเทวนิยมเน้น “ความสัมพันธ์” ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า
แม้ว่าศาสนาแนวเทวนิยมจะเน้นพระเจ้าเป็นศูนย์กลางคำสอน แต่ความรอดพ้นที่เป็นจุดเริ่มต้นและจุดหมายที่พระเจ้านี้ ไม่ใช่ในลักษณะ “สำเร็จรูป” สิ่งที่ศาสนาแนวเทวนิยมสอน คือ พระเจ้าทรงประทานความรอดพ้นแก่มนุษย์ เพราะ “ความรัก” ที่พระองค์ปรารถนาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น อย่างไรก็ตาม คำสอนของศาสนาแนวเทวนิยมก็ให้ความสำคัญแก่มนุษย์ด้วย ในฐานะที่พระเจ้าประทานศักยภาพพิเศษให้มนุษย์ตอบรับด้วยใจอิสระ ตอบรับที่จะสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์ด้วยความสำนึกตนต่อคำสอนและแนวทางที่พระเจ้าประทานให้ ด้วยความเชื่อศรัทธาภายในจิตใจและแสดงออกด้วยการปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอน ด้วยความสำนึกว่าพระเจ้าประทานความรอดพ้นแก่มนุษย์ด้วยความรัก และมนุษย์ตอบรับที่จะสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วยความรักเช่นกัน ดังโครงสร้างดังนี้


เริ่มต้นความสัมพันธ์ “รัก”
พระเจ้า/ความรอดพ้น มนุษย์

พระเจ้าประทานพระพร ตอบรับด้วยใจอิสระ
อย่างต่อเนื่อง อย่างผู้มีสติปัญญา เพื่อสร้างความสัมพันธ์ ที่จะสร้างความสัมพันธ์
“รักตอบ/ศรัทธาภักดี”


ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ศาสนาแนวเทวนิยม ให้ความสำคัญต่อพระเจ้าเป็นศูนย์กลางคำสอน และเน้นบทบาทของมนุษย์ในฐานะเป็นผู้ตอบรับ ผู้ร่วมมือสู่ความรอดพ้นที่พระเจ้าสัญญาจะประทานให้ หรือกล่าวได้ว่า ศาสนาแนวเทวนิยมให้ความสำคัญต่อพระเจ้า ในฐานะพื้นฐาน บ่อเกิดและเป้าหมายของชีวิต (ปัญหาเชิงอภิปรัชญา/การอธิบายความเป็นจริงสูงสุด/พระเจ้า) และจากพื้นฐานดังกล่าว นำสู่การตอบรับของมนุษย์ ด้วยวิถีปฏิบัติจากความเชื่อศรัทธาส่วนบุคคล และแสดงออกด้วยการปฏิบัติตามบทบัญญัติตามที่ศาสนา (พระเจ้า) สอน โดยมีพื้นฐานที่การสร้างความสัมพันธ์ส่วนบุคคลระหว่างมนุษย์กับความเป็นจริงสูงสุด (พระเจ้า)

ข. ศาสนาแนวอเทวนิยมไม่เน้นจุดกำเนิด แต่เน้นวิถีสู่เป้าหมาย (ความหลุดพ้น) ด้วยการใช้ศักยภาพภายในของมนุษย์

หลักการสำคัญของศาสนาแนวอเทวนิยม คือ ความสนใจเฉพาะ “ความจริง” ที่เป็นประโยชน์ต่อการบรรลุถึงความรอดพ้น (ความหลุดพ้น) จากวงเวียนแห่งทุกข์ การสอนเท่าที่ควรสอนเพื่อความหลุดพ้น ตัวอย่างเช่น สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ได้แก่ สอนสิ่งที่จริง มีประโยชน์ และเหมาะสมแก่กาละเทศะ (สุเชาวน์ พลอยชุม, 2546) ด้วยการยอมรับว่ามนุษย์มีศักยภาพ “ภายในตนเอง” ที่จะพบและบรรลุถึงความหลุดพ้นด้วยพลังของตน อาศัยการบำเพ็ญตนด้วยความพากเพียร

ออกแรง/บำเพ็ญตนด้วยปัญญา

มนุษย์ ความหลุดพ้น

- กระแสวัฎจักรแห่งทุกข์ - ควบคุมตนเอง
- ศักยภาพที่จะรู้แจ้งเห็นจริง - ขจัดอวิชชา
- เห็นแจ้งในสัจธรรม


1) ศาสนาแนวอเทวนิยม ไม่ได้ปฏิเสธ หรือยอมรับว่ามีพระเจ้า /ความเป็นจริงสูงสุดที่มีลักษณะเป็นบุคคล เพราะเห็นว่าการถกปัญหาดังกล่าว เป็นสิ่งไม่มีประโยชน์ที่จะช่วยให้มนุษย์บรรลุความหลุดพ้น ไม่จำเป็นที่มนุษย์จะรู้ทุกเรื่องที่ตนสนใจ ดังตัวอย่างจากคำสอนของพุทธศาสนาที่ “สอนเฉพาะเรื่องที่จะช่วยดับทุกข์ให้แก่ชีวิตได้เท่านั้น..... การถกปัญหาเชิงอภิปรัชญาหาข้อยุติยาก และไร้ประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาชีวิตของมนุษย์ แต่พุทธศาสนาสนใจปัญหาทางปฏิบัติมากกว่า เพราะเป็นเรื่องที่สามารถพิสูจน์ ทดสอบได้ และสามารถนำมาแก้ปัญหาของชีวิตได้” (สุเชาวน์ พลอยชุม, 2546: ก - ข)

2) ศาสนาแนวอเทวนิยมเน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลางของคำสอน เน้นความพยายามของมนุษย์ในการปฏิบัติตามแนวทางที่ศาสดานำเสนอ เพื่อบรรลุสัจธรรม ไม่มีอำนาจใดที่จะช่วยให้มนุษย์บรรลุสัจธรรมได้ แต่มนุษย์ต้องออกแรง บำเพ็ญตนเอาชนะอวิชชา เพื่อเข้าการเห็นแจ้งถึงสัจธรรมจนบรรลุความหลุดพ้น

3) ศาสดาเป็นมนุษย์ที่เป็นอัจฉริยบุคคล ที่บำเพ็ญตนและทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง ด้วยความพากเพียร จนรู้แจ้ง เห็นจริง “รู้เอง โดยชอบ... รู้ถูกต้องตามเป็นจริง” (สุเชาวน์ พลอยชุม, 2546: 1) ทรงพบความจริงตามที่มีอยู่แล้วด้วยญาณ อันเป็นผลจากการบำเพ็ญเพียร จากนั้น ศาสดาทรงเผยแผ่แนวทางแก่ผู้สนใจ แต่ขึ้นกับการออกแรง/ความพยายามของแต่ละคน ด้วยความพากเพียรของตนโอนให้คนอื่นไม่ได้ หรือไม่มีอำนาจอันใดบันดาลให้บรรลุความหลุดพ้นได้ แต่ต้องอาศัยความสามารถของแต่ละบุคคล ให้แต่ละบุคคลรู้จักคิดและทำ เพื่อบรรลุสัจธรรม



รู้แจ้ง เห็นจริง ศาสดาบำเพ็ญเพียร จนค้นพบ
ความหลุดพ้น



ความจริง นำเสนอ สาวก/ผู้ติดตาม/มนุษย์
ที่นำสู่ความหลุดพ้น ให้คิดและทำ


4) ศาสนาแนวอเทวนิยมเน้นความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างมนุษย์กับความหลุดพ้น อาศัยปัญญา ความสามารถของตนเอง ด้วยการนำแนวทางจากศาสดาไปปฏิบัติ ไม่ได้ส่งเสริมให้เคารพบูชาศาสดา หรือวอนขอพระพรเพื่อความหลุดพ้น แต่เน้นให้นำคำสอนและแนวทางจากศาสดาไปปฏิบัติ จึงจะเกิดผล เป็นการเน้นประโยชน์ที่นำสู่การบรรลุความหลุดพ้น ด้วยการนำไปปฏิบัติด้วยตนเอง



มนุษย์ ความหลุดพ้น
ทำความเข้าใจ
และนำคำสอนของศาสดา
ไปปฏิบัติด้วยตนเอง


ดังนั้น หลักการสำคัญของศาสนาแนวอเทวนิยม คือ การดำเนินตามแนวทางของศาสดา ซึ่งเชื่อว่าบรรลุความหลุดพ้นแล้ว ทำความเข้าใจคำสอนด้วยสติปัญญา เพื่อการรู้แจ้ง เห็นจริง ด้วยการลงมือปฏิบัติตามกำลังความสามารถของแต่ละคนตามแนวทางที่ศาสดาสอน





2.2 การถ่ายทอดความจริงทางศาสนา อาศัยสัญลักษณ์และภาษา

2.2.1 ปัญหาในการถ่ายทอดความจริงทางศาสนา

ความจริงของศาสนาที่ศาสดาได้รับมอบหมายให้เผยแสดง (ศาสนาเทวนิยม) หรือการค้นพบสัจธรรมของศาสดา (ศาสนาแนวอเทวนิยม) มีการถ่ายทอดแก่ผู้เลื่อมใส (สาวก) แต่ประสบปัญหาว่า จะถ่ายทอดอย่างไรให้สาวก/ผู้ติดตามได้เข้าใจและปฏิบัติได้ถูกต้อง เพื่อบรรลุความรอดพ้นตามที่หลักธรรมของศาสนาสอน เนื่องจากความรอดพ้น (ความเป็นจริงสูงสุด) มีลักษณะเป็นอุตรภาพ ในขณะที่มนุษย์ (สาวก/ผู้เลื่อมใส) ยังไม่มีประสบการณ์ตรงแบบที่ศาสดาประสบ ศาสดาในฐานะเป็นคนกลาง ผู้สอน/ให้แนวทางเพื่อบรรลุความรอดพ้น แต่ผู้ติดตาม/สาวก/ผู้เลื่อมใสยังไม่บรรลุถึงสัจธรรม แต่ปรารถนาจะบรรลุถึงตามแบบศาสดา เนื่องจาก

ก. ความคิด/เข้าใจเกี่ยวกับความรอดพ้นยังไม่ชัดเจน เพราะยังไม่มีประสบการณ์ตรง “ไม่ประจักษ์แจ้ง” เหมือนศาสดา

ข. การดำเนินชีวิต (วิถีชีวิต) ของผู้เลื่อมใส ยังต้องได้รับคำแนะนำ/คู่มือสู่ความรอดพ้นอยู่เสมอ เนื่องจากมนุษย์ยังมีความจำกัด ทั้งเรื่องความเข้าใจ/หลงผิด (อวิชชา) และการใช้เสรีภาพที่เข้าข้างตนเอง

ค. สถานการณ์ชีวิตของผู้เลื่อมใสที่ต้องเผชิญหน้ากับสภาพชีวิตของแต่ละคนที่แตกต่างกัน เนื่องจากมนุษย์แต่ละคนอยู่ในบริบทที่ต่างกัน ตามสภาพของแต่ละคนที่อิงกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์เฉพาะบุคคล

2.2.2 แนวทางปฏิบัติ

การใช้อารยธรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะการสื่อสารด้วยการใช้สัญลักษณ์และภาษา เพื่อสื่อความหมายของความจริงในศาสนา นำสู่การปฏิบัติเพื่อบรรลุความรอดพ้น (ใช้สิ่งที่เป็นรูปธรรม แทน/หมายถึง สิ่งที่เป็นนามธรรม) เพื่อการก้าวไปในแนวทางเดียวกัน การดำเนินตามหลักการ/กรอบเดียวกัน ทำให้เกิดความสัมพันธ์กับความจริงในศาสนา

2.2.3 ตัวอย่างปัญหาที่ตามมา

มีการถ่ายทอดความจริงของศาสนาแก่ผู้เลื่อมใส/สาวก ซึ่งเป็นมนุษย์ที่มีความจำกัดในโลก อาศัยเครื่องหมายในรูปแบบของสัญลักษณ์และภาษา แต่ก็พบปัญหาที่ตามมา ได้แก่ (Wynn cited in Byrne, 1995)

ก. ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสัญลักษณ์และภาษาของศาสนากับความหมายของความจริงในศาสนา

โดยทั่วไป สัญลักษณ์และภาษาของมนุษย์มีพื้นฐานจากสิ่งต่างๆ ที่พบเห็นได้ในธรรมชาติ ในขณะที่สาระสำคัญของความจริงในศาสนามีลักษณะที่เป็นอุตรภาพ ดังนั้น สัญลักษณ์และภาษาของมนุษย์จึงมีความจำกัดที่ไม่สามารถอธิบายความหมายของความจริงทางศาสนาได้ทั้งหมด ทำให้เกิดช่องว่าง หรือความสัมพันธ์เรื่องความเข้าใจความจริงของศาสนาอาศัยสัญลักษณ์และภาษาของมนุษย์

ข. ปัญหาเรื่องการนิยาม

จากความจำกัดดังกล่าว ที่ผู้เลื่อมใสเข้าใจไม่ครบถ้วนและไม่ตรงจุด ในการนิยามที่มีช่องว่าง ระหว่างการใช้สัญลักษณ์และภาษาของศาสนา กับความจริงของศาสนา ส่งผลให้ผู้เลื่อมใสมีแนวโน้มที่จะยึดติดแต่ “สัญลักษณ์” และภาษาของศาสนา จนนำสู่การขาดความรู้ ความไม่ชัดเจนในความจริงของศาสนา รวมทั้งการตีความที่ไม่ถูกต้อง นำสู่

1) การถือหลักศาสนาแบบสูตรสำเร็จรูป การท่องจำและยึดติดแต่ตัวบทกฎเกณฑ์ ขาดความรู้ เข้าใจ และเป็นไปในรูปแบบการถือศาสนาตามธรรมเนียมปฏิบัติ

2) การไม่ลงลึกในการมุ่งสู่ความจริงของศาสนา ขาดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่อความจริงของศาสนา และแนวปฏิบัติตามหลักของศาสนาในแบบ

ค. ปัญหาเรื่องการอธิบาย/ตีความหมายที่อิงกับบริบทของมนุษย์

การเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของแต่ละศาสนาในแต่ละชนชาติ การรับคำสอนของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง จะต้องใช้ภาษาประจำชาติเพื่อจะอธิบายและตีความของคำสอนของศาสนานั้น ดังนั้น ภาษาของชาตินั้น ทำให้ความจริงของศาสนาได้รับความหมายอย่างหนึ่งที่เหมาะสมกับบริบทของชาตินั้น ตัวอย่างเช่น คำสอนของศาสนาพุทธที่เผยแผ่และได้รับการนับถือในเอเชีย ความแตกต่างของศาสนาพุทธในประเทศต่างๆ เช่น ศาสนาพุทธของประเทศไทย เวียดนาม จีน หรือญี่ปุ่น แม้มีหลักคำสอนอันเดียว คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่การตีความคำสอนและหลักการปฏิบัติ มีแตกต่างกันในบางประการตามความเข้าใจ การตีความและภาษาของแต่ละประเทศ เป็นต้น (ยัง ดังโตแนล, 2551)

ผู้เขียนขอยกตัวอย่างของการอธิบายความจริงของศาสนา เป็นต้นในปรัชญาตะวันตกยุคกลาง มีนักปรัชญาหลายท่าน ให้นิยามถึงพระเจ้า เช่น นักบุญอัลเซ็ม (St. Anselm, ค.ศ. 1033 – 1109) อธิบายการมีอยู่ของพระเจ้าด้วยการใช้ข้อพิสูจน์ก่อนประสบการณ์ (A priori argument of St. Anselm) ที่อธิบายว่าพระเจ้าเป็น “อะไร (สิ่ง) ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะรับรู้ว่ายิ่งใหญ่” (That than which nothing greater can be conceived) เป็นการอธิบายพระเจ้าโดยใช้คำ/ภาษาที่อิงพื้นฐานจากประสบการณ์มนุษย์ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นการอธิบายความจริงของศาสนา (พระเจ้า) ที่ยิ่งทำให้เกิดความสับสนและห่างไกลจากคำสอนเรื่องพระเจ้า ตามคำสอนของคริสต์ศาสนา ที่นักบุญอัลเซ็มตั้งใจ เป็นตัวอย่างทำให้ยิ่งสะท้อนถึงความจำกัดของมนุษย์ ที่จะใช้อารยธรรมมนุษย์ (สัญลักษณ์และภาษา) ในการเข้าใจ/บรรลุถึงความจริงที่ศาสนาสอน

3. การวิเคราะห์คุณค่าและความหมายของภาษาทางศาสนา

การวิเคราะห์คุณค่าและความหมายของภาษาทางศาสนา จะเริ่มต้นด้วยการพิจารณาบทบาทของภาษา และศึกษาความเป็นไปได้ที่จะอธิบายภาษาของศาสนาตามประเภทในบริบทของศาสนา

3.1 หน้าที่และบทบาทของภาษา

ภาษาเป็นสัญลักษณ์ หรือข้อตกลงที่มนุษย์ตกลงกัน และใช้เป็นเครื่องมือของการสื่อสารและการเผยแพร่อารยธรรมของมนุษย์ ภาษาจึงมีหน้าที่สำคัญในการถ่ายทอดและสื่อสารความรู้ ความคิดหรือความรู้สึกของมนุษย์ในบริบทของวัฒนธรรม

ภาษาจึงมีบทบาทที่หลากหลายตามเจตนาของผู้สื่อสาร ทั้งนี้มีการแบ่งบทบาทของศาสนาตามหน้าที่และจุดประสงค์ ภาษามีไว้เพื่อ (Ubanee, 1997)

3.1.1 การบอกเล่า (The informative function)

ภาษามีบทบาทสำคัญในการสื่อสาร ให้ข้อมูล ข่าวสาร ข้อเท็จจริงและเหตุผลเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่ผู้สื่อสารต้องการนำเสนอ ภาษาจึงมีบทบาทในการบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น เช่น นาย ก. เล่าให้ นาย ข. ฟังว่า เมื่อวานนี้พบหนังสือที่ นาย ข. กำลังค้นหา อยู่ที่หอสมุด วิทยาลัยแสงธรรม เป็นต้น

3.1.2 การขอร้อง/คำสั่งให้ปฏิบัติ (The directive function)

บางชนิดของภาษามีลักษณะเป็นคำสั่งและการเรียกร้องให้ปฏิบัติ เพื่อนำสู่การกระทำตามที่ผู้สื่อสารต้องการ เช่น นาย ก. บอก นาย ข. ว่า ช่วยชงกาแฟให้หน่อยได้ไหม เป็นต้น

3.1.3 การแสดงออกของอารมณ์ ความรู้สึก (The expressive function)

บางชนิดของภาษามีลักษณะเป็นการแสดงความรู้สึก อารมณ์และทัศนคติต่อกัน เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาด้านอารมณ์ ความรู้สึกและทัศนคติร่วมกัน เช่น นาย ก. กล่าวถึงความรู้สึกที่เขามีต่อบิดา โอกาสวันคล้ายวันเกิดของบิดา เพื่อให้แขกที่มาในงานได้ตระหนักถึงความดีที่บิดาได้กระทำ

3.2 การตัดสินความหมายของข้อความว่าจริงหรือเท็จ

แม้ว่าบางประโยคของภาษา (ข้อความ) ที่ใช้สื่อสารข้อมูล การแสดงออกของอารมณ์ ความรู้สึก หรือคำสั่ง การขอร้องให้ปฏิบัติ จากการพิจารณาจุดประสงค์ของข้อความในภาษา เห็นได้ว่ามีเฉพาะประโยคของภาษาในเชิงบอกเล่า (Informative proposition) เท่านั้น ที่นำเสนอข้อเท็จจริง และความเป็นจริง จึงต้องมีการตัดสินว่า จริงหรือไม่จริง ส่วนข้อความเชิงคำสั่ง การขอร้องให้ปฏิบัติ และข้อความแสดงอารมณ์ ความรู้สึก คงไม่มีความจำเป็นที่จะมีการตัดสินว่าจริงหรือเท็จ เนื่องจากไม่มีผลต่อการสื่อสารที่แสดงถึงความรู้ที่สอดคล้องกับความจริง

3.3 ลักษณะของภาษาทางศาสนา

มีการให้ข้อสังเกตว่า ข้อความ หรือภาษาทางศาสนามีจุดมุ่งหมายที่ถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกหรือทัศนคติ และมีลักษณะเป็นคำสั่ง เรียกร้องให้มีการปฏิบัติตามเพื่อบรรลุถึงความจริงของศาสนา อย่างไรก็ตาม ถ้าข้อความหรือภาษาของศาสนาเป็นเพียงข้อความเชิงคำสั่ง (Directive Proposition) หรือข้อความที่แสดงออกของอารมณ์ (Emotive Proposition) ก็ไม่ต้องมีการพิสูจน์หรือตัดสินว่าจริงหรือเท็จ ดังนั้น จึงนำสู่คำถามว่า ข้อความหรือภาษาของศาสนา มีความหมายที่นำสู่การตัดสินว่าจริงหรือเท็จหรือไม่

4. ความหมายของข้อความ/ภาษาที่ใช้ในศาสนา

สิ่งที่เราจะพิจารณาต่อไป คือ ข้อความหรือภาษาที่ใช้ในศาสนา เป็นข้อความที่มีความหมายที่นำสู่การตัดสินว่าจริงหรือเท็จหรือไม่ เช่น คำสอนของพุทธศาสนาที่สอนว่า “นิพพาน คือ การหลุดพ้นจากวัฎจักรแห่งทุกข์” หรือคำสอนของศาสนายูดาห์ที่สอนว่า “พระยาเวห์ ทรงทำพันธสัญญากับอับราฮัม” เป็นต้น

4.1 คำถาม

4.1.1 ข้อความที่แสดงถึงหลักธรรมคำสอนสำคัญของศาสนา ดังตัวอย่างที่กล่าวมานี้คืออะไร? มีความหมายหรือไม่?

4.1.2 ถ้ามีความหมาย แล้วจะเอาอะไรมาตัดสินความจริงหรือเท็จของข้อความนั้นๆ ในเมื่อการตัดสินนี้ต้องอิงอยู่บนเนื้อหาของข้อเท็จจริง (The matters of fact) ซึ่งใช้ประสบการณ์มาตัดสินจริงหรือเท็จ แต่ในกรณีของข้อความเชิงศาสนาที่นำเสนอมาข้างต้น เราไม่เคยมีประสบการณ์ และไม่อาจนำเอาประสบการณ์ที่ไหนมาพิสูจน์ได้?

จึงทำให้เกิดความสงสัยว่า ข้อความทางศาสนานั้นเป็นแบบบอกเล่า ให้ข้อเท็จจริงหรือไม่ ถ้ามีจะอธิบายข้อเท็จจริงได้อย่างไร (Ubanee, 1997)

4.2 คำตอบและปัญหาที่ตามมา

4.2.1 การยืนยันว่าข้อความทางศาสนาไม่ใช่ข้อความเชิงบอกเล่า แต่มีความหมายในเชิงคำสั่ง หรือการแสดงออกของอารมณ์เท่านั้น

ก. ความหมาย

ข้อความเกี่ยวกับคำสอนของศาสนาไม่ใช่ข้อความเชิงบอกเล่า แต่เป็นข้อความที่มีความหมายในเชิงคำสั่งและเป็นการโน้มน้าวจิตใจ กล่าวคือ ความหมายของข้อความทางศาสนาไม่ได้ต้องการที่จะยืนยันข้อเท็จจริงในระดับประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส (The matter of fact) แต่มีหน้าที่เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคม ต่อศีลธรรม หรือจิตวิทยา เพื่อช่วยให้เกิดความสามัคคี สนับสนุน โน้มน้าวจิตใจให้มีความมั่นคง สนับสนุนและให้มองโลกแห่งความเป็นจริงและชีวิตในแง่ดี เพื่อให้เกิดความเคารพ เชื่อฟังต่อกฏเกณฑ์ หลักปฏิบัติของศาสนา ซึ่งเป็นความศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้น ข้อความทางศาสนาเป็นเพียง ข้อความที่โน้มน้าวจิตใจและเป็นคำสั่งหรือโน้มน้าวจิตใจให้ปฏิบัติเพื่อประสบสันติสุขของชีวิตเท่านั้น (Ubanee, 1997)

ข. ตัวอย่าง

ข้อความของศาสนาเต๋า ที่สอนว่า ความเป็นจริงแท้ คือ “เต๋า” (นามสมมุติ) อันเป็นธรรมชาติที่อยู่เหนือการสมมุติ มีอยู่เอง เป็นจุดกำเนิดและพื้นฐานของสรรพสิ่ง และพิสูจน์ไม่ได้ด้วยประสบการณ์ระดับประสาทสัมผัส

ข้อความดังกล่าวนี้ ไม่ได้มีความหมายในเชิงบอกเล่า หรือบรรยายข้อเท็จจริง เนื่องจากเราพิสูจน์ไม่ได้ด้วยประสบการณ์ระดับประสาทสัมผัส ตามเนื้อหาของข้อเท็จจริง แต่ข้อความนี้ มีความหมายในเชิงคำสั่งหรือแสดงอารมณ์ ความรู้สึก ที่โน้มน้าวจิตใจให้มนุษย์สำนึกตน และดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม เพราะทุกสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกันโดยมี “เต๋า” เป็นพื้นฐาน

ค. การวิเคราะห์คำตอบและปัญหาที่ตามมา

คำตอบตามแนวคิดนี้ พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องการตัดสินความหมายของข้อความทางศาสนาว่าจริงหรือเท็จ ที่ต้องมีการพิสูจน์อาศัยเนื้อหาของข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่เนื่องจากเราไม่อาจมีประสบการณ์มาตัดสิน จึงมีแนวคิดว่าข้อความทางศาสนาไม่ใช่ข้อความเชิงบอกเล่า แต่เป็นข้อความเชิงคำสั่งและแสดงอารมณ์ ความรู้สึก นำสู่การปฏิบัติตามหลักของศาสนา จริงอยู่ ช่วยแก้ปัญหาเรื่องมาตรการที่นำมาตัดสินความจริงหรือเท็จของข้อความ แต่ปัญหาที่ตามมาจากการนำคำตอบดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ ได้แก่

1) ข้อความเชิงศาสนาดูเหมือนไม่ค่อยมีเหตุผล ดูไร้สาระ เพราะไม่ได้อิงกับข้อเท็จจริงเลย การกล่าวว่า “เต๋าเป็นพื้นฐานของสรรพสิ่ง” หรือการกล่าวว่า “พระเจ้าทรงรักมนุษย์” ถ้าข้อความทั้งสองเป็นแค่คำสั่งหรือแสดงอารมณ์เพื่อการปฏิบัติตนให้เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง หรือ เพื่อตระหนักถึงความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ มนุษย์จึงควรปฏิบัติตนด้วยความรัก ก็ไม่มีความหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ข้อความเชิงศาสนาจึงมีลักษณะให้เชื่ออย่างเดียว โดยไม่ต้องสนใจเรื่องเหตุผล

2) การอธิบายว่าข้อความทางศาสนา เป็นเพียงคำสั่งหรือการแสดงอารมณ์ ย่อมเป็นอันตรายต่อความซื่อสัตย์ต่อหลักธรรมคำสอนของศาสนา เนื่องจากมีแนวโน้มนำสู่การยึดตนเองเป็นหลัก และนำสู่การประยุกต์คำสอนของศาสนาตามแนวทางของแต่ละคน ส่งผลต่อเอกภาพของผู้นับถือศาสนา มีผลทำให้หลักคำสอนของศาสนาค่อยๆ ห่างไกลจากคำสอนแท้จริงของศาสนา

3) การมองความจริงของศาสนาที่ไม่ครบถ้วน ถ้าศาสนาเป็นเพียงมิติด้านอารมณ์ ความรู้สึก ทัศนคติ และคำสั่งตามหลักศีลธรรม ศาสนาจะขาดมิติพื้นฐานที่นำสู่ความสำนึกภายในจิตใจ ที่เป็นพลังสำคัญของการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา แต่จะเป็นการเน้นอารมณ์ ความรู้สึกและการบังคับ จนมองข้ามการมีความสัมพันธ์ “ส่วนบุคคล” ระหว่างมนุษย์กับความรอดพ้น

4.2.2 ข้อความหรือภาษาของศาสนา เป็นข้อความบอกเล่าเชิงเปรียบเทียบ

เป็นที่แน่นอนว่า นักปรัชญาศาสนาคงไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่เสนอว่าข้อความเชิงศาสนาเป็นเพียงข้อความเชิงคำสั่งหรือแสดงอารมณ์เท่านั้น จึงยืนยันว่าข้อความทางศาสนาเป็นข้อความที่บอกเล่าเรื่องราวที่อยู่ในบริบทตามเนื้อหาของข้อเท็จจริง ไม่ได้เป็นเพียงเนื้อหาของอารมณ์หรือคำสั่งให้ปฏิบัติเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องมาตรการตัดสินความจริงหรือเท็จ ซึ่งเป็นคำถามที่ตามมาของการยืนยันว่าข้อความทางศาสนาเป็นข้อความบอกเล่า ซึ่งใช้ประสบการณ์มาตัดสิน จึงมีการอธิบายว่า แม้ว่าข้อความทางศาสนาเป็นข้อความบอกเล่าที่ไม่ได้มีความหมายตามตัวอักษรโดยตรง แต่เป็นข้อความบอกเล่าในเชิงเปรียบเทียบ (The analogically informative Proposition) จึงต้องใช้วิธีเชิงเปรียบเทียบ (An analogical way) ซึ่งไม่ได้จำกัดความหมายเพียงตามตัวอักษรเท่านั้น มาตัดสินความจริงหรือเท็จของข้อความที่นำเสนอ

5. ความหมายของภาษาในศาสนา : ข้อความบอกเล่าเชิงเปรียบเทียบ

5.1 ความหมายของภาษา/คำที่เสนอความจริงของศาสนา

แม้ว่าความจริงของศาสนาซึ่งมีการนำเสนอผ่านทางสัญลักษณ์ ภาษาหรือข้อความที่นำเสนอ มีเนื้อหาที่สามารถพิสูจน์ได้จากประสบการณ์มนุษย์ แต่เนื้อหาสาระสำคัญของความจริงทางศาสนามีลักษณะเป็นอุตรภาพ อยู่นอกเหนือประสบการณ์ระดับประสาทสัมผัสของมนุษย์ ดังนั้น การพิสูจน์ความจริงหรือเท็จของข้อความที่นำเสนอความจริงของศาสนา จึงมีลักษณะพิเศษที่ต่างจากข้อความในบริบทเนื้อหาของข้อเท็จจริงทั่วไป ซึ่งมีแนวทางพิจารณาได้ดังนี้ (Ubanee, 1997)

5.1.1 ถ้าเรายืนยันว่าความหมายของข้อความที่เสนอความจริงของศาสนา มีลักษณะเหมือนกับที่ใช้กับสิ่งที่เรามีประสบการณ์ทั่วไป กล่าวคือ

ก. ถ้าคำ/ข้อความต่างๆ ที่ใช้สื่อถึงความจริงของศาสนา เป็นเหมือนกับคำทั่วไปที่สื่อถึงความจริงทั่วไป ผลคือ ทำให้ความจริงของศาสนาเป็นเหมือนความจริงอื่นๆ เช่น การกล่าวว่า พระเจ้าทรงรักมนุษย์ มีความหมายว่า พระองค์ทรงรักเหมือนกับที่มนุษย์รัก

ข. ถ้าคำ/ข้อความต่างๆ ที่ใช้นำเสนอความจริงของศาสนา มีลักษณะเฉพาะ ผลคือ การไม่ได้เสนอหรือยืนยันความรู้อะไรใหม่เลย เช่น พระเจ้า มีลักษณะเป็น “ก.” การนำเสนอเช่นนี้ ไม่ได้ช่วยให้เราได้ความรู้อะไรเกี่ยวกับพระเจ้าเลย

5.1.2 ถ้าเรายืนยันว่า คำที่ใช้เสนอความจริงของศาสนา มีลักษณะพิเศษ เป็นอุตรภาพที่อยู่นอกเหนือประสบการณ์ที่เรามีกับสิ่งทั่วไป เราจะประสบปัญหาเรื่องการทำความเข้าใจความหมาย เนื่องจากเราไม่มีประสบการณ์โดยตรงกับอุตรภาพ เราก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่าข้อความทางศาสนาที่เสนอนั้นจริงหรือเท็จ เช่น การกล่าวว่า “เต๋ามีลักษณะเป็นนามธรรม” ก็มีความหมายไม่ต่างจากการกล่าวว่า “ก. คือ ข.” เราก็ไม่ได้ความรู้อะไรใหม่ หรือไม่อาจตัดสินว่าจริงหรือเท็จ เพราะเราไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับความจริงทางศาสนา ที่อยู่นอกเหนือประสบการณ์ที่เรามีกับสิ่งทั่วไป

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า เมื่อเราใช้คำ/ข้อความที่เสนอความจริงของศาสนา เราไม่อาจใช้เหมือนกับที่เราใช้กับสิ่งที่เรามีประสบการณ์ทั่วไป (A univocal) และไม่อาจใช้ในลักษณะเฉพาะสิ่ง ที่เป็นอัตลักษณ์ของตน (A equivocal) แต่เรามีแนวทางทำความเข้าใจคำที่เสนอความจริงของศาสนาที่มีลักษณะเป็นอุตรภาพ (ภาวะที่ไม่จำกัด) ด้วยการเปรียบเทียบ (An analogical way) กับสิ่งทั่วไป (ภาวะที่มีความจำกัด) ที่เรามีประสบการณ์ในชีวิต

5.2 คำ/ข้อความที่เสนอความจริงของศาสนา มีความหมายเชิงเปรียบเทียบ

5.2.1 ความหมาย

หมายถึง การทำความเข้าใจคำ/ข้อความที่เสนอความจริงของศาสนา ด้วยการใช้ความเข้าใจต่อสิ่งที่เรามีประสบการณ์ มาเป็นพื้นฐาน ด้วยการเปรียบเทียบความหมายที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน หรือตรงกันข้าม ระหว่างความเข้าใจต่อสิ่งที่เรามีประสบการณ์ทั่วไปกับความจริงของศาสนาที่เราไม่เคยมีประสบการณ์ ในบริบทที่ต้องการสื่อความหมาย

5.2.2 ข้อพึงระมัดระวังในการใช้ข้อความเชิงเปรียบเทียบ

การเข้าใจคำ/ภาษาในเชิงเปรียบเทียบ จะต้องคำนึงถึงบริบทที่ต้องการสื่อความหมายในแง่ที่ผู้เปรียบเทียบต้องการ ถ้าหากมีบริบทความเข้าใจคนละแง่ จะส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดต่อความหมายที่ต้องการจะสื่อ หรือเรียกว่า การเปรียบเทียบผิดแง่ (False analogy) (กีรติ บุญเจือ, 2522: 171) เช่น การกล่าวว่า ครูเปรียบเหมือนเป็นเรือจ้าง ถ้าไม่ระมัดระวังบริบทที่กล่าวถึงดีๆ จะทำให้เกิดความเข้าใจว่าครู เป็นอาชีพที่ต่ำต้อยก็ได้


5.2.3 กระบวนการใช้คำ/ข้อความเชิงเปรียบเทียบในภาษาของศาสนา

กระบวนการใช้คำ/ข้อความเชิงเปรียบเทียบ ที่นำมาใช้อธิบายความหมายของความจริงในศาสนามีสามขั้นตอน ดังนี้

ก. การยืนยันคุณลักษณะที่มีความเหมือนกัน (Similarity) ระหว่างสิ่งที่เราเข้าใจทั่วไป กับความจริงทางศาสนาที่เราต้องการนำเสนอ เช่น การกล่าวว่า “นรก เป็นความทุกข์ยิ่งใหญ่” เราเข้าใจความทกุข์ได้ ด้วยการนึกถึง ภาวะของความทุกข์ที่เราเคยประสบในรูปแบบต่างๆ ด้วยการเปรียบเทียบกับลักษณะของความทุกข์ที่มนุษย์ประสบ เช่น ความสิ้นหวัง ความหดหู่ แล้วนำมาวิเคราะห์ถึงคุณลักษณะของความทุกข์ในนรก ว่าเป็นความสิ้นหวัง หดหู่ เป็นต้น

ข. การปฏิเสธคุณลักษณะที่ไม่หมือนกันแน่ๆ (Dissimilarity) ระหว่างสิ่งที่เราเข้าใจทั่วไป นำประยุกต์ใช้เข้าใจความจริงทางศาสนาที่เราต้องการนำเสนอ เช่น การกล่าวว่า “นรกเป็นความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่” เราวิเคราะห์ถึงความทุกข์ที่เราเคยประสบ และมั่นใจว่าไม่หมือนกับความทุกข์ในนรกแน่ๆ เช่น ความทุกข์ของมนุษย์บนโลกมีลักษณะชั่วคราว แต่ความทุกข์ในนรก ไม่ใช่ลักษณะชั่วคราว แต่เป็นความทุกข์ตลอดนิรันดร เป็นต้น

ค. การยืนยันความจริงในศาสนาซึ่งมีลักษณะที่เป็นความสมบูรณ์ ครบครัน (Perfect and supreme) แล้วนำมาใช้เปรียบเทียบกับลักษณะที่สมบูรณ์ของสิ่งที่เรามีความเข้าใจจากประสบการณ์ เช่น การกล่าวว่า “นรก เป็นความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่” เราเข้าใจได้ด้วยการเปรียบเทียบว่า ความทุกข์ในนรกมีลักษณะเป็นความทุกข์ ที่ไม่มีโอกาสที่จะได้ลิ้มรสความสุขเลย ในขณะที่ความทุกข์ที่เราประสบบนโลก ยังไม่ใช่ความทุกข์ แต่อาจมีความสุขมาเจือปนบ้าง เป็นต้น

6. สรุปประจำบท

ความจริงของศาสนาเป็นเรื่องละเอียด ซับซ้อนและมีความหมายมากกว่าแค่ประสบการณ์ระดับประสาทสัมผัส ความจริงของศาสนาจึงยอมรับและเรียกร้องให้มีความเชื่อศรัทธาเป็นพื้นฐาน และพยายามทำความเข้าใจ เพื่อการปฏิบัติตนตามความจริงของศาสนาจะได้ตรงกับคำสอนแท้จริง เราเห็นถึงความพยายามที่จะนำเสนอความจริงของศาสนา ด้วยการใช้อารยธรรมของมนุษย์ ในรูปแบบของเครื่องหมาย สัญลักษณ์และภาษา เพื่อการสื่อสารหลักธรรมคำสอนของศาสนา

อย่างไรก็ตาม ให้ระมัดระวังดีๆ เนื่องจากเครื่องหมาย สัญลักษณ์และภาษาของศาสนาจะมีความหมายพิเศษ แต่อย่าลืมที่จะอิงกับประสบการณ์ของมนุษย์ เพื่อหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของศาสนาในแบบสำเร็จรูป หรือการทำตามๆ กันไปโดยขาดการสำนึก ไตร่ตรองความจริงของศาสนา การทำความเข้าใจหลักธรรมคำสอนของศาสนาที่สื่อสารในรูปของเครื่องหมาย สัญลักษณ์และภาษาของศาสนา ก็ต้องคำนึงถึงเป็นพิเศษ เพื่อความเข้าใจต่อสิ่งที่ความจริงของศาสนานำเสนอ ในรูปของการสื่อสารที่ตรงกับบริบท จะได้มีความเข้าใจที่ตรงกับหลักธรรมคำสอนของศาสนาอย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น: